การฉีดฟิลเลอร์สัมผัสกระดูก
ในอดีตการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์นั้นทำกันเพียงแค่ใต้ผิวหนังตื้นๆ ซึ่งใช้เติมเต็มเพียงแค่ร่องต่าง ๆบนใบหน้า เช่นร่องแก้มร่องมุมปาก เป็นต้น การฉีดก็ใช้เข็มคมขนาดเล็ก เช่น เบอร์ 29 G หรือ 30 G การฉีดรักษาร่องเหล่านี้ทำให้ใบหน้าดูดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และหากฉีดมากไป ฟิลเลอร์ใต้ผิวก็จะทำให้ใบหน้าดูอ้วนใหญ่ขึ้นด้วย
จากความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์ที่มากขึ้น ทำให้เราทราบว่าปัญหาความแก่ชรา หรือการหย่อนคล้อยของใบหน้านั้นเกิดขึ้นในทุกชั้นผิว ตั้งแต่ชั้นลึกที่สุดคือชั้นกระดูก ดังนั้นการรักษาที่ถูกต้องจึงต้องเริ่มที่ชั้นกระดูก ซึ่งการรักษาด้วยการใช้สารเติมเต็ม ชนิดฟิลเลอร์ HA (Hyaluronic acid) ไปทดแทนชั้นกระดูกที่บางลง และแก้เนื้อเยื่อใบหน้าในชั้นลึกที่ยุบตัวลงจากอายุที่มากขึ้น จึงเป็นวิธีการที่ตรงจุดที่สุด
ผลงานการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยโตเกียว
Dr. Kotaro Yoshimura และทีมศัลยแพทย์ตกแต่งชาวญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยโตเกียว ได้ทำการศึกษาในคนญี่ปุ่น 63 คน โดย 51 คน ฉีดรักษาเพื่อความงาม อีก 12 คนฉีดรักษาความผิดปกติของโครงกระดูกหน้า ติดตามผลการรักษานาน 12-93 เดือน การรักษากระทำโดยการฉีดฟิลเลอร์ชนิด HA ลงไปบนกระดูกโดยฉีดลงไปบน หรือใต้เยื่อหุ้มกระดูก จากนั้นติดตามผลการรักษาโดยการทำเอ็กซ์เรคอมพิวเตอร์ (MRI) เพื่อตรวจดูว่ายาฟิลเลอร์ HA ที่ฉีดลงไปเป็นอย่างไร ซึ่งโดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ HA ลงไปที่ชั้นผิวหนัง หรือชั้นไขมันใต้ผิวหนังนั้น สารฟิลเลอร์ HA มักสลายตัวหมดภายใน 10-12 เดือนเท่านั้น แต่จากผลการศึกษานี้กลับพบว่า หลังจากการรักษา 21.6 เดือนไปแล้ว (ค่าเฉลี่ย) จำนวน 86.6% ของจุดฉีดยังมีปริมาตร (Volume) ที่เหลืออยู่เกินกว่า 50% และ 49.5% พบปริมาตร(Volume) เหลืออยู่มากกว่า 75% ทั้งนี้สัณนิฐานว่าปริมาตร(Volume) ที่เหลืออยู่เกิดจากการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รวมถึงการสร้างกระดูกใหม่ขึ้นบางส่วนด้วย

แนวคิดเทคนิคและวิธีการ
มีแนวคิดวิธีการฉีดสารฟิลเลอร์ HA ลงบนกระดูก 2 รูปแบบคือ
1. การฉีดลงไปใต้เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อไปกระตุ้นการสร้างกระดูกจากข้างใต้เยื่อหุ้ม ที่คลุมตัวกระดูกไว้
2. การฉีดลงบนเยื่อหุ้มกระดูก โดยการฉีดฟิลเลอร์ HA ลงบนเยื่อหุ้มกระดูกจะทำให้เกิดการกระตุ้นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆอนุภาคของ HA มีการกระตุ้น Periosteal Stem Cells (เซลต้นกำเนิดของเยื่อหุ้มกระดูก) และเหนี่ยวนำให้มีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รวมทั้งทำให้เกิดการเกาะของแคลเซี่ยมบริเวณนี้ด้วย ผลลัพธ์ของทั้ง 2 วิธีคือ ทำให้ปริมาตร (Volume) ที่เกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ HA คงตัวอยู่ได้นานขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นการทำให้เกิดผลแบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent) จากการใช้สารฉีด HA ซึ่งเป็นสารแบบชั่วคราว (Non-Permanent)

ในอดีตไม่นิยมใช้ฟิลเลอร์ HA ในการเติมปริมาตร (Volume) ในส่วนที่ขาดของใบหน้า เนื่องจากพบว่า ฟิลเลอร์ HA สลายตัวเร็ว
คือไม่ถึงปีก็สลายหมด ทำให้นิยมไปฉีดไขมัน หรือหากมีการยุบตัวของกระดูกจากอุบัติเหตุ เช่นหน้าผากบุบยุบ ก็นิยมทำเป็น Bone Graft หรือการตัดกระดูกจากส่วนอื่นมาแปะเสริมนั่นเอง ซึ่งทั้งการฉีดไขมัน และ การทำ Bone Graft นั้น จะบาดเจ็บมาก และต้องพักฟื้นนาน นอกจากนี้การฉีดไขมันก็คาดการณ์ได้ยาก เพราะอาจยุบตัวหมดภายใน 2-3 เดือน ทำให้ต้องฉีดซ้ำ หรืออาจยุบตัวไม่เท่ากัน ทำให้ผิวเกิดเป็นลูกคลื่น ไม่เรียบ
บทสรุป
เทคนิคใหม่ของการฉีดฟิลเลอร์ HA ลงบนกระดูกช่วยทำให้ผลการรักษาอยู่ได้นานขึ้น การฉีดอาจทำได้โดยการใช้ทั้งเข็มปลายทู่ และเข็มคม โดยช่วยปรับเปลี่ยนรูปโครงหน้าให้ดูดีขึ้นและช่วยยกกระชับใบหน้า ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้ ทั้งนี้ผลการรักษายังดูเป็นธรรมชาติกว่า ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเทคนิคนี้แตกต่างจากการปรับรูปหน้าโดยการทำ V Shape ด้วยการใช้โบท๊อกซ์ฉีดลดกราม หรือการฉีดสลายไขมันที่แก้ม หรือแม้แต่การร้อยไหมที่แก้มก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแค่การลดแก้มและลดกรามในส่วนที่เป็นเนื้ออ่อนเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการเปลี่ยนโครงกระดูกซึ่งเป็นตัวยึด และค้ำยันข้างใต้ ดังนั้นผลการรักษาจะอยู่ไม่นาน และดูไม่เป็นธรรมชาติเพราะแม้จะดูหน้าเรียวเล็กลง แต่สัดส่วนใบหน้าจะเสียสมดุล ทำให้ไม่ได้ดูดีขึ้น ไม่ได้ดูอ่อนวัยอย่างแท้จริง แถมบางรายแก้มห้อยหย่อนลงหลังจากฉีดลดแก้ม-ลดกรามก็มี การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปโครงกระดูกจึงเป็นการรักษาที่ตรงจุดที่สาเหตุ แต่ข้อจำกัดของวิธีนี้คือ ต้องใช้ยาฟิลเลอร์จำนวนมากทำให้สิ้นเปลือง และต้องกระทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะการฉีดลงลึกก็มีโอกาสแทงถูกเส้นเลือดใหญ่ได้มากขึ้น จึงต้องเป็นแพทย์ที่สามารถฉีดด้วยทั้งเข็มปลายทู่ และเข็มคมอย่างชำนาญเท่านั้น