หลายคนอาจจะเคยเจอกับปัญหา ฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมหรือเป็นก้อน บางคนอาจจะไม่พอใจกับผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีหากว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณก็ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะถ้าหากคุณฉีดฟิลเลอร์ซึ่งเป็นสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูรอนิคแอซิด คุณก็จะฉีดสลายฟิลเลอร์ ได้เช่นกัน บางคนที่ฉีดฟิลเลอร์มาแล้วเกิดเป็นก้อนหรือไม่พอใจในผลลัพธ์แล้วต้องการฉีดแก้ฟิลเลอร์ มาดูข้อมูลที่น่าสนใจไปพร้อมกัน
การแก้ฟิลเลอร์บวม
สำหรับผลข้างเคียงที่เกิดได้ง่ายที่สุดคือฉีดแล้วฟิลเลอร์บวม แม้ว่าจะฉีดมาเป็นเวลานานมากพอสมควร ทว่าก็ยังบวมจากฟิลเลอร์ไม่ยุบลง ซึ่งหากว่าในกรณีปกติ หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์จะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 7-14 วัน และบวมมากที่สุดคือ 3 วันแรกหลังจากที่ฉีด หรือบางคนมีอาการฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมแดง ถือเป็นอาการปกติที่พบได้เจอทั่วไปหลังจากฉีดและหายได้เองในสองสัปดาห์ นอกจากนี้หลายคนอาจจะพบกับอาการฉีดฟิลเลอร์แล้วบวมแดงอย่างรุนแรง และมีอาการแทรกซ้อนหรือติดเชื้อ การแพ้ฟิลเลอร์ ตลอดจนอาการบวมจากฟิลเลอร์กระจายไปสู่เนื้อเยื่อที่บริเวณอื่นๆ โดยวิธีแก้ฟิลเลอร์บวมคือการฉีดแก้ฟิลเลอร์ด้วยสารสลายฟิลเลอร์
อาการบวมจากฟิลเลอร์ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ฟิลเลอร์บวม
ติดเชื้อ หากว่าคนไข้มีอาการติดเชื้อจะมีอาการบวมแดงที่ผิว และแสบร้อนในบริเวณที่ฉีด รวมถึงรู้สึกปวดมากกว่าปกติ โดยบางรายอาจจะมีหนองอยู่ในบริเวณที่บวม หรือบางคนอาจมีอาการบวมจากการติดเชื้อ ซึ่งนับว่าเป็นผลข้างเคียงอันตราย โดยคนที่มีอาการดังกล่าวควรแจ้งแพทย์ฉีดแก้ฟิลเลอร์เพื่อรักษาอาการข้างเคียงให้เร็วที่สุด
แพ้ฟิลเลอร์ อาการแพ้ฟิลเลอร์จะคล้ายๆ กับอาการติดเชื้อ โดยบางรายอาจมีเนื้อเป็นก้อนที่นูนมาบนผิว หรือมีตุ่มผื่นลมพิษขึ้นอยู่ใกล้กับบริเวณที่ฉีด โดยอาการแพ้ฟิลเลอร์สามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้หลังจากที่ฉีด โดยพบได้ตั้งแต่หลังจากที่ฉีดไม่กี่นาทีจนกระทั่งหลังฉีดเป็นปีก็แพ้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีการแก้แพ้ทำได้ด้วยการใช้ยาลดการอักเสบ ลดอาการบวม หรือลดผื่นลมพิษ หากว่าแพ้หนักมาก แพทย์ก็อาจจะมีการแนะนำให้ฉีดสลายฟิลเลอร์ โดยการแพ้ฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิคสามารถพบได้น้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ และส่วนใหญ่ที่แพ้คือการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งจะฉีดสลายไม่ได้ ทำได้โดยการผ่าตัดและขูดฟิลเลอร์เนื้อเยื่อที่เสียหายไปเท่านั้น
แก้ฟิลเลอร์ใต้ตา
การเลือกฟิลเลอร์ที่ใต้ตาถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยต้องเลือกแบบที่ปลอดภัย สามารถฉีดได้หากไม่พอใจ หรือฉีดแล้วไม่สวยก็สามารถปรับและตกแต่ง รวมฉีดแก้ฟิลเลอร์เอาออกได้ในเวลาไม่กี่วินาที
อย่างไรก็ดีเมื่อฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วบวมเป็นก้อนเมื่อยิ้ม มีสาเหตุจากสิ่งใดบ้าง มาดูกัน
1.เกิดจากการที่แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มากเกินไป หรือบางครั้งแพทย์ฉีดถูกต้องแล้วแต่เพราะกล้ามเนื้อของคนไข้บางมาก ส่งผลให้เมื่อเวลายิ้ม กล้ามเนื้อหดตัวและดันฟิลเลอร์ออกมาให้เห็นเป็นก้อน เมื่อยิ้มสักระยะหนึ่ง บริเวณฟิลเลอร์ก็จะเคลื่อนตัวมาอยู่ข้างบนแทนนั่นเอง ทำให้ต้องฉีดแก้ฟิลเลอร์ใต้ตา
2.แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ไม่ถูกตำแหน่ง ฉีดไปที่กล้ามเนื้อหรือเหนือกล้ามเนื้อ โดยหากว่าฉีดไปในปริมาณมากๆ ก็อาจจะเห็นเป็นก้อนได้
3.คนไข้บางคนผิวบาง แม้ว่าฟิลเลอร์จะถูกตำแหน่งก็ตาม ทว่าด้วยชั้นผิวที่บางจึงทำให้เห็นบริเวณใต้ตาเป็นสีเขียวนั่นเอง
4.การใช้ฟิลเลอร์ไม่ถูกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือซิลิโคน ซึ่งฟิลเลอร์เหล่านี้จะอุ้มน้ำเอาไว้จำนวนมาก การเลือกฟิลเลอร์ใต้ตา จำเป็นต้องเลือกอย่างถูกต้องและเหมาะสม แพทย์ต้องมีประสบการณ์มากและมีฝีมือมากพอที่จะตกแต่งใต้ตาให้กลมกลืน เป็นธรรมชาติและไม่บวม
แก้ใต้ตาบวมจากฟิลเลอร์ทำอย่างไร
สำหรับการฉีดแก้ฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาให้คงความสวยงามและเรียบเนียน ทำได้ดังต่อไปนี้
1.นำเอาฟิลเลอร์เก่าออกก่อน ซึ่งจะใช้สารไฮยาลูรอนิเดสอันเป็นสารที่สามารถสลายฟิลเลอร์ส่วนเกินนี้ให้ออกไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใดที่มีฟิลเลอร์ก็ตามที ฟิลเลอร์ที่เป็นก้อนจะกลับมาปกติดังเดิม เป็นการแก้ใต้ตาบวมที่ได้ผลดีที่สุด
2.หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์แล้ว กรณีที่ร่องใต้ตาเดิมไม่ลึกมาก ก็ไม่ต้องฉีดฟิลเลอร์เพิ่มไปใหม่ แต่ในกรณีที่ร่องเดิมลึก เมื่อสลายฟิลเลอร์เก่าแล้วอาจต้องปรับกลับมาฉีดใหม่ให้ดูเป็นธรรมชาติและสวยกว่าเดิม
หากไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ ต้องทำอย่างไร
ในกรณีคนไข้บางราย แพทย์ไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์แท้ให้ ส่งผลให้ไม่สามารถฉีดแก้ฟิลเลอร์ได้ ยกตัวอย่างเช่นการฉีดซิลิโคนหรือไขมันเทียม สารเหล่านี้เป็นตัวที่ไม่สามารถใช้ไฮยาลูรอนิเดสสลายได้ ดังนั้นสารเหล่านี้จะอยู่ในร่างกายตลอดไป หากมีอาการแพ้ก็จะบวมแดงขึ้นมาได้ ในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์เทียมหรือไขมันเทียมแพทย์จะเจาะระบายออกด้วยการผ่าตัดเล็กๆ แต่หากว่าเป็นซิลิโคนอาจต้องผ่าตัดใหญ่และขูดสารที่เป็นฟิลเลอร์ปลอมออกมานั่นเอง
แก้หน้าบวมจากฟิลเลอร์
การฉีดแก้ฟิลเลอร์แก้หน้าบวมจากฟิลเลอร์ ที่เป็นฟิลเลอร์แท้ แพทย์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส หรือเอนไซม์กลุ่มที่จัดการก้อนเนื้อซึ่งขึ้นจากความผิดปกติในร่างกาย โดยจะย่อยสลายเนื้อเยื่อในส่วนนั้นให้หายไปหรือมีขนาดเล็กลง ขั้นตอนการทำงานของเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส เป็นขั้นตอนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยหลังจากที่ฉีดเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง เอนไซม์จะไปทำลายการยึดเกาะของเนื้อฟิลเลอร์บริเวณใต้ชั้นผิว ลดการกักเก็บน้ำและไขมันบริเวณที่มีฟิลเลอร์ และมีการปรับผิวหน้าบริเวณที่สลายฟิลเลอร์ให้กลับมาใกล้กับผิวก่อนฉีดฟิลเลอร์มากที่สุด พร้อมปรับสมดุลของชั้นผิวให้เรียบเนียนเสมอกัน เป็นการแก้หน้าบวมจากฟิลเลอร์ ที่ได้ผล
สามารถฉีดสลายได้หมดหรือไม่
ปกติแล้วการฉีดฟิลเลอร์แท้ในกลุ่มไฮยาลูรอนิกแอซิด จะสลายได้เองตามธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งระยะเวลาในการสลายเองก็ขึ้นอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์ที่ฉีด หากว่าต้องการให้ฟิลเลอร์สลายไปทันทีก็สามารถฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสเข้าไปทำการสลายฟิลเลอร์ได้ในทันที สามารถสลายได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว
สิ่งที่ควรรู้ก่อนมาสลายฟิลเลอร์?
อย่างไรก็ดีแม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์แท้ในกลุ่มกรดไฮยาลูรอนิคจะสามารถฉีดสลายได้ทันที แต่ก่อนจะทำการฉีดสลาย แพทย์เองก็ต้องทราบข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อนเพื่อทำการคำนวณปริมาณยาแบบเหมาะสม และสิ่งที่ต้องรู้ก่อนมาฉีดสลายมีดังต่อไปนี้
1.ปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดในครั้งแรก
คนไข้ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่าปริมาณของฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ฉีดมาคือยี่ห้อใด เป็นของแท้หรือไม่อย่างไร ฉีดบริเวณใด ฉีดมาเป็นระยะเวลานานเท่าใด ควรมีกล่องฟิลเลอร์พกมาด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้นำข้อมูลที่ได้มาใช้คำนวณปริมาณยาที่ใช้สำหรับสลายฟิลเลอร์ เพื่อให้เข้ากันได้ดีกับฟิลเลอร์ที่ฉีดมาเดิมและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดหน้าบวมมากที่สุด
2.วิธีสลายฟิลเลอร์
การสลายฟิลเลอร์ทำได้ด้วยการฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสบริเวณที่ต้องการแก้ไข โดยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดสสามารถย่อยสลายฟิลเลอร์แท้ในกลุ่มไฮยาลูรอนิคแอซิดได้ และแต่ละเคส แพทย์จะทำการคำนวณปริมาณยาที่ใช้ในการฉีดสลายฟิลเลอร์ให้เหมาะสม
บทสรุป
อาการบวมหลังจากฉีดฟิลเลอร์เป็นอาการที่พบได้ตามปกติ เมื่อฉีดแล้วอาจจะบวมมากใน 2 -3 วันแรก แล้วจะค่อยๆ หายบวมไปเอง แต่หากว่าอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นร่วมอยู่ด้วย ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อดำเนินการรักษาก่อนที่จะเกิดผลข้างเคียงอย่างรุนแรง เพราะอาการบวมที่เกิดขึ้นอาจรอไม่ได้ หากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจทำให้การรักษายากมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และเกิดอันตรายจนคาดไม่ถึงได้เลยทีเดียว