เรื่องที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการฉีดถุงใต้ตา

ฉีดถุงใต้ตา

9 เรื่องที่คนมักเข้าใจผิด แล้วกับการฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตา

ถ้าจะกล่าวถึงปัญหาถุงใต้ตา เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงคิดเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก บางคนลองทาครีมหลายต่อหลายชนิด แต่ทว่าก็ยังไม่ช่วยแก้ไขปัญหาได้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บางคนเลือกฉีดถุงใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดถุงใต้ตานั้นมีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กัน

1.ฉีดถุงใต้ตา จะทำให้ใต้ตาเป็นก้อน

หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าหากฉีดถุงใต้ตาจะทำให้ตาเป็นก้อน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาเป็นก้อนมีหลายต่อหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ที่มากเกินไป การเลือกใช้ชนิดของฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งในการฉีด  รวมถึงการฉีดฟิลเลอร์ในชั้นผิวที่ตื้นเกินไป จนทำให้ไปอยู่บนชั้นของกล้ามเนื้อ บางคนอาจจะโชคร้ายเจอฟิลเลอร์ปลอม  อย่างไรก็ดีการฉีดถุงใต้ตาแล้วใต้ตาเป็นก้อนสามารถสังเกตได้จากผิวที่ไม่เรียบเนียน ซึ่งปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์สูงจะดีที่สุด

ฉีดถุงใต้ตา

2.ฉีดฟิลเลอร์แล้วตาบอด

คนที่กำลังสนใจจะฉีดฟิลเลอร์ที่ดวงตา อาจจะรู้สึกเป็นกังวลว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอันตรายจนทำให้ตาบอด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด เพราะฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิก แอซิดที่ใกล้เคียงกับสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ จึงทำให้เกิดความปลอดภัยสูง และหากว่าเข้ารับการรักษากับแพทย์ที่ประสบการณ์และความชำนาญสูง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตาบอดแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีหากไปฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหลายต่อหลายประการเช่นกัน ทั้งกรณีที่แพทย์กดเข็มลงไปที่ชั้นผิวหนังที่ลึกเกิน จนพลาดเข้าเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดอุดตันและถูกทำลายจนเสียการมองเห็น ด้วยเหตุนี้จึงควรเลือกฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง เพื่อเติมเต็มความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่สูงสุดอีกด้วย

3.รอยเข็มจากฟิลเลอร์ใต้ตาหายช้า

ความเข้าใจผิดประการที่สามได้แก่ การเข้าใจว่ารอยเข็มจากฟิลเลอร์ใต้ตาหายช้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วหลังการฉีดจะมีอาการบวมแดงเป็นรอยเข็มบริเวณจุดที่ฉีด แต่รอยแดงเหล่านั้นจะจางหายไปในเวลาประมาณ 2-3 วัน และขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน ซึ่งหากว่าใครที่ต้องการให้รอยแดงหายเร็วกว่าเก่า ก็ควรทำตามข้อปฏิบัติหลังจากฉีดฟิลเลอร์ซึ่งแพทย์ได้แนะนำเอาไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการอักเสบและอาการข้างเคียงอื่นๆ นั่นเอง

4.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ตามปกติ

หลายคนที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์มักเข้าใจผิดคิดว่าหลังฉีดใต้ตาแล้วสามารถดื่มได้ตามปกติ ซึ่งแท้จริงเป็นความเข้าใจที่ผิด หลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์แล้ว ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เลือดสูบฉีด ทำให้มีเลือดออกที่แผล และทำให้รอยบวมที่เกิดจากเข็มหายช้าอีกด้วย ในบางรายอาจเกิดการอักเสบที่ผิว นอกจากนี้การสูบบุหรี่เองก็ยังเป็นตัวการที่ทำให้แผลหายช้าลง ดังนั้นหลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วให้งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นระยะเวลา 24 -48 ชั่วโมงจะดีที่สุด

ฉีดถุงใต้ตา

5.การฉีดฟิลเลอร์ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อน

คนไข้มักเข้าใจผิดไปว่าหากจะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ต้องเตรียมตัวแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์มีข้อปฏิบัติหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการงดวิตามิน งดอาหารเสริมที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุด ยกตัวอย่างเช่น วิตามินอี น้ำมันปลา สารสกัดจากโสม สารสกัดจากขิง กระเทียมและใบแป๊ะก๊วยก่อนทำ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังควรงดยาแอสไพริน ยากลุ่ม NSAIDs  ไปด้วยเช่นกัน เพื่อให้แผลสมานตัวได้อย่างรวดเร็ว สำหรับใครที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรงดการฉีดฟิลเลอร์ไปก่อน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อันตรายต่อลูกในท้องได้

6.การฉีดฟิลเลอร์ไม่มีข้อปฏิบัติหลังฉีด

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดสำหรับหลายๆ คนได้แก่ ความเข้าใจว่าการฉีดฟิลเลอร์ไม่มีข้อปฏิบัติตัวหลังฉีด ทำให้ไม่งดพฤติกรรมต่างๆ จนฟิลเลอร์เสื่อมสภาพก่อนอายุจริง โดยในความเป็นจริงแล้วเมื่อผ่านการฉีดฟิลเลอร์มา คนไข้ต้องดื่มน้ำมากๆ และงดรับประทานของหมักดอง อาหารทะเลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งยังต้องงดการทำหัตถการอื่นๆ บริเวณใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นการทำเลเซอร์ หรือการอบซาวหน้า เพราะการอบซาวหน้าเป็นกิจกรรมที่สัมผัสกับความร้อนจัด จนส่งผลกระทบต่อฟิลเลอร์ที่เพิ่งฉีดไปนั่นเอง

ฉีดถุงใต้ตา

7.ตาลึกและโหลไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้

บางคนเข้าใจผิดว่าคนที่ตาลึกและโหลไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนที่เบ้าตาลึก โหลและคล้ำ เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ใบหน้าดูเหนื่อยล้าตลอดเวลา บางคนมีปัญหาร่องใต้ตาลึกและชัด จนดูเหมือนเป็นครึ่งวงกลมรอบดวงตา ส่งผลให้เกิดความเหี่ยวย่นที่เห็นได้ชัดเจน ดูไม่สดใสและเรียบเนียน ควรใช้ฟิลเลอร์แก้ไขปัญหาและเติมเต็มความเอิบอิ่มให้กับผิวรอบดวงตา 

8.ฉีดโบท็อกซ์ดีกว่าฉีดถุงใต้ตาด้วยฟิลเลอร์

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดของหลายคนคือ การเข้าใจไปว่าฉีดโบท็อกซ์ดีกว่าฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการจะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาที่แต่ละคนเผชิญอยู่ หากว่ามีปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากไขมันและกระดูกใต้ตาน้อยลง และใต้ตาต้องการสารที่ฉีดเข้าไปเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่มาจากสารต่างๆ บนใบหน้าลดลง ก็ควรแก้ไขปัญหาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แต่หากว่าปัญหาผิวใต้ตาเกิดจากการขยับกล้ามเนื้อที่บริเวณใบหน้ามากเกินไป จนทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นที่ใต้ตาและหางตา หรือเกิดเป็นรอยตีนกาที่เป็นร่องลึก ก็อาจจะต้องใช้วิธีการโบท็อกซ์ใต้ตา เพราะว่าการโบท็อกซ์คือการออกฤทธิ์โดยตรงกับระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดใช้งานได้น้อยลง สามารถลดรอยเหี่ยวย่นและป้องกันการเกิดรอยย่นเป็นร่องลึกมากกว่าเดิม อย่างไรก็ดีในกรณีที่เกิดปัญหาจากสาเหตุทั้งสองอย่าง คนไข้ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาและโบท็อกซ์ร่วมกันได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละคนนั่นเอง

9.ทุกคนสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้

ความเข้าใจผิดประการต่อไปที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งคือการที่คนไข้เข้าใจว่าทุกคนสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว มีข้อกำหนดสำหรับคนที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาดังต่อไปนี้

– คนที่ตาแห้งมาก คนที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง อาจต้องหยอดน้ำตาเทียมก่อนจนอาการดีขึ้นจึงจะสามารถฉีดฟิลเลอร์ที่ใต้ตาได้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ดวงตาระคายเคืองกว่าปกติ และทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบ

– คนที่กำลังรับประทานยาที่ส่งผลกับการแข็งตัวของเลือด คนที่ป่วยโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อาจต้องรับประทานยาแอสไพริน ยาขยายหลอดเลือด จะไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์จะมีแผลและมีจุดเลือดบริเวณที่ฉีดยา ทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่ายมากกว่าปกติ

– คนที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร สำหรับคนที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรเลือกงดการฉีดฟิลเลอร์ออกไปเสียก่อน เพราะว่าการฉีดฟิลเลอร์นั้นแพทย์จะให้ยาแก้อักเสบมารับประทานภายหลัง ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับบุตรในครรภ์และการให้นมได้

– คนที่เป็นโรคเริมและงูสวัส คนที่ป่วยโรคเริมและงูสวัสเป็นคนที่อยู่ในช่วงที่ภูมิต้านทานของร่างกายตก ดังนั้นจึงไม่ควรเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์

ฉีดถุงใต้ตา

สำหรับใครที่อยากฉีดฟิลเลอร์ ควรพิจารณาว่าร่างกายของคุณมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด และศึกษาการฉีดฟิลเลอร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง