ถุงใต้ตาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับหลายคน ไม่ว่าจะเป็นจากการนอนไม่หลับ การทำงานหนัก หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง ซึ่งสามารถทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและไม่สดใส แต่ไม่ต้องกลัว เพราะมีวิธีแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาที่ง่าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีจากธรรมชาติ หรือการเข้าคลินิกความงาม ดังนั้นเราจะพาไปดูกัน ว่าสามารถแก้ใต้ตาบวมด้วยวิธีไหนได้บ้าง แต่ก่อนอื่นไปดูสาเหตุ และผลเสียจากการมีถุงใต้ตาก่อนดีกว่า
ใต้ตาบวม ถุงใต้ตา เกิดจากสาเหตุอะไร?
ถุงใต้ตาหรือใต้ตาบวม เป็นปัญหาที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่ และทำให้รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก โดยอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้
1.การนอนดึกหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ หากคุณนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ก็สามารถทำให้ร่างกายสะสมของเหลว จนเกิดถุงใต้ตาขึ้นมาได้ อีกทั้งการทำงานหนัก หรือความเครียด ก็เป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้ใต้ตาบวมได้เหมือนกัน
2.การทานอาหารบางชนิดมากเกินไปก็ทำให้มีถุงใต้ตาได้ เช่น อาหารเค็มหรือดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้มากเกินไป จนมีอาการบวมที่ตา
3.อายุและกรรมพันธุ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าครอบครัวของคุณมีปัญหานี้อยู่แล้ว โอกาสที่คุณจะเป็นก็สูงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวหนังจะยุบตัวและไม่กระชับเหมือนเมื่อก่อน เลยทำให้เกิดถุงใต้ตาได้ง่าย
4.การแพ้สารเคมี เช่น สารที่อยู่ในเครื่องสำอางก็อาจก่อให้เกิดอาการบวมที่ใต้ตาได้ ดังนั้น ความระมัดระวังในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ด้วย
ถุงใต้ตา มีผลเสียอย่างไร
ถุงใต้ตาไม่ใช่แค่ปัญหาที่ทำให้หน้าดูโทรมเท่านั้น แต่ยังมีผลเสียอยู่มากมาย ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจให้หลายคนเลยทีเดียว เช่น การขาดความมั่นใจ ถ้าคุณมีถุงใต้ตา คุณอาจรู้สึกไม่มั่นใจหรือต้องคิดมากเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเอง บางคนถึงขั้นหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน หรือไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าเหนื่อยล้าหรือดูมีอายุ และยังส่งผลต่อสุขภาพจิตอีกด้วย เมื่อคุณรู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเอง อาจนำไปสู่ความรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลมากขึ้น ความมั่นใจในตัวเองลดลง จนทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจได้ นอกจากนี้ถุงใต้ตาก็อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพที่ไม่ดี หรือการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หากร่างกายกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ อาจหมายความว่าคุณต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การนอนหลับ การกินอาหารที่มีประโยชน์ หรือแม้กระทั่งการลดความเครียดนั่นเอง
5 วิธีแก้ใต้ตาบวม ด้วยเคล็ดลับทางธรรมชาติ
เราสามารถแก้ใต้ตาบวมได้ด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยมี 5 เคล็ดลับที่แนะนำดังนี้
1.ประคบเย็น การประคบเย็นช่วยลดอาการบวมที่ใต้ตาได้ โดยให้คุณนำผ้าขนหนูผืนเล็กๆ มาแช่ไว้ในตู้เย็นหรือชุบน้ำเย็นบิดหมาดๆ แล้วนำมาประคบที่ใต้ตาทั้งสองข้าง หรืออาจจะนำช้อนแช่เย็นมาประคบก็ได้ ให้ทำข้างละ 10-15 นาที และทำต่อเนื่องทุกวัน จะทำให้อาการบวมยุบลงไป เนื่องจากความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวนั่นเอง
2.ประคบด้วยถุงชา การใช้ถุงชาประคบ ก็จะช่วยลดอาการบวมใต้ตาได้เช่นกัน เพราะถุงชามีคุณสมบัติในการทำให้หลอดเลือดหดตัว จึงทำให้อาการบวมลดลงได้ และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยฟื้นฟู พร้อมทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาด้วยเช่นกัน
3.แตงกวาลดบวม เราสามารถแก้ใต้ตาบวมได้ ด้วยการนำแตงกวามาฝานเป็นแว่นๆ แล้วนำมาแปะบริเวณตา โดยเฉพาะตรงที่มีอาการบวม จะช่วยให้ถุงใต้ตาค่อยๆ ยุบลง และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาได้เป็นอย่างดี
4.นมจืดลดความบวม นมจืด เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะช่วยลดความบวมของถุงใต้ตาได้ดีมาก โดยให้นำนมจืดไปแช่เย็น แล้วใช้สำลีชุบมาแปะบนดวงตาทิ้งไว้สักพัก ความบวมของถุงใต้ตาจะค่อยๆ ลดลง พร้อมทั้งเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยเช่นกัน
5.มะเขือเทศแก้ถุงใต้ตา มะเขือเทศ มีคุณสมบัติที่ดีในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และทำริ้วรอยหรือความเหี่ยวย่นดูจางลงไป จึงนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาถุงใต้ตาบวมได้ดีมาก ซึ่งจะนำมะเขือเทศมาฝานเป็นแผ่นบางๆ แล้วประคบไปรอบดวงตานั่นเอง
วิธีแก้ใต้ตาบวม ด้วยวิธีการทางการแพทย์
หากต้องการแก้ใต้ตาบวมอย่างเร่งด่วน นอกจากวิธีทางธรรมชาติแล้ว ก็มีวิธีทางการแพทย์อีกด้วย ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่เร็วทันใจและน่าพึงพอใจที่สุด โดยสามารถแก้ไขได้ดังนี้
1.ฉีดฟิลเลอร์ลดถุงใต้ตา
ฟิลเลอร์เป็นวัสดุที่ใช้เติมเต็ม โดยมักใช้สาร Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายสามารถย่อยสลายได้ ฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตาเพื่อช่วยยกระดับผิวและให้ความชุ่มชื้น เมื่อทำเสร็จแล้ว จะทำให้รูปลักษณ์ใต้ตามีความเรียบเนียน และช่วยลดปัญหาถุงใต้ตามากขึ้น โดยปกติแล้วผลลัพธ์จะอยู่ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วย
2.รักษาถุงใต้ตาด้วย Hifu Ultraformer
Hifu (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนัง คลื่นเสียงจะกระตุ้นให้เกิดการอุ่นในชั้นผิวหนัง ซึ่งช่วยลดการบวมและทำให้ผิวหนังกระชับ เมื่อทำการรักษาไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นและคุณสามารถกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษา และสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
3.แก้ใต้ตาบวมด้วย คลื่น Radio Frequency – RF
คลื่น RF มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับ เรียกว่ามีผลดีต่อการลดริ้วรอยและความหย่อนคล้อยใต้ตา เทคนิคนี้ไม่ต้องมีการผ่าตัดและไม่เจ็บปวด โดยผู้รับการรักษาจะรู้สึกอุ่นเมื่อคลื่น RF ส่งผ่านเข้าไปในผิว การรักษานี้มักจะต้องทำซ้ำประมาณ 3-6 ครั้ง โดยผลลัพธ์ที่ได้จะค่อยๆ เห็นชัดในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากการรักษา
4.ผ่าตัดถุงใต้ตา
การผ่าตัดถุงใต้ตาหรือ Blepharoplasty มักเป็นวิธีที่ใช้ในการรักษาถุงใต้ตาที่มีโครงสร้างไขมันสะสมมาก โดยจะมีการตัดผิวหนังส่วนเกินออก และแก้ไขไขมันใต้ตา โดยผลลัพธ์ค่อนข้างยาวนาน แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ และอาจมีผลข้างเคียง เช่น บวมและฟกช้ำ ได้
5.แก้ใต้ตาบวมด้วยการดูดไขมัน
การดูดไขมันใต้ตามักใช้ในกรณีที่มีไขมันสะสมมากใต้ตา โดยใช้เทคนิคดูดไขมันเพื่อลดปริมาณไขมันใต้ตา ซึ่งจะช่วยลดความบวมและปรับโครงสร้างของใบหน้า เทคนิคนี้ต้องใช้เครื่องมือที่พิเศษในการดูดไขมันออกและสามารถให้ผลลัพธ์ที่โดดเด่นและยาวนาน อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันเป็นวิธีที่ต้องใช้ความระมัดระวัง และอาจต้องมีการดูแลหลังจากการทำเป็นอย่างดี เพื่อให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
แก้ใต้ตาบวม ที่ไหนดี เลือกคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่โดนใจชัวร์
หลายคนมีคำถามว่า จะแก้ใต้ตาบวมที่ไหนดี โดยเราจะต้องเลือกคลินิกที่มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่โดนใจที่สุด และไม่เป็นอันตรายนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่ต้องพิจารณาเลยก็คือ ความสะอาดของคลินิก แพทย์ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและมีประสบการณ์ มีผลงานเปรียบเทียบก่อนหลังชัดเจน ราคาสมเหตุสมผล และที่สำคัญควรดูรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง ตามช่องทางต่างๆ ด้วย เพื่อให้ตัดสินใจเลือกคลินิกได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ใต้ตาบวม หรือมีถุงใต้ตาไม่ต้องกังวล เพราะคุณสามารถแก้ได้ไม่ยาก ด้วยวิธีที่เราได้บอกไปกันเลย อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาใต้ตาบวมอีก ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอ ดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดถุงใต้ตา ก็จะช่วยลดการเกิดถุงใต้ตาได้แล้ว