9 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดถุงใต้ตา

ฉีดถุงใต้ตา

หากเอ่ยถึงปัญหาถุงใต้ตา หลายๆ คนคงเห็นด้วยใช่หรือไม่ว่าเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความกังวลใจได้มากที่สุด เนื่องจากว่าดวงตาคืออวัยวะสำคัญบนใบหน้า แม้แต่ในช่วงโควิด -19 ที่ทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ทว่าดวงตาก็ยังคงต้องปรากฏให้ผู้อื่นได้เห็น เชื่อหรือไม่ว่าดวงตาเป็นอวัยวะที่กำหนดอายุของคุณได้มากกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ดวงตาที่มีถุงใต้ตาจะทำให้คุณดูแก่กว่าวัย อย่างไรก็ดีในปัจจุบันนี้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไปไกลกว่าเดิม ได้ทำให้เกิดเทคโนโลยีต่างๆ ในการกระชับดวงตา ลดปัญหาถุงใต้ตาแบบไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งการฉีดถุงใต้ตาเองก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการลดถุงใต้ตาแบบไม่ต้องผ่าตัดที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง วันนี้เราขออาสาพามาดูว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดถุงหย่อนคล้อยใต้ตามีอะไรบ้าง พร้อมแล้วมาดูกัน

 

1.ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับฉีดไขมันใต้ตาคือสิ่งเดียวกัน

สำหรับความเข้าใจผิดแรกที่หลายๆ คนควรทำความเข้าใจใหม่ได้แก่การที่คิดว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับฉีดไขมันใต้ตาคือสิ่งเดียวกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสองสิ่งนี้แตกต่างกัน เพราะการฉีดฟิลเลอร์คือการฉีดสารเติมเต็มกรดไฮยาลูรอนิค แอซิด ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจากประเทศผู้ผลิตต้นทางว่าสามารถฉีดเข้าร่างกายได้โดยที่ไม่เป็นอันตราย แต่ในขณะที่การฉีดไขมันคือการที่แพทย์ดูดเอาไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายของคนไข้มาฉีดที่บริเวณใต้ตา ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างกันบ้างไม่มากก็น้อย โดยการฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังจากฉีด หรือหากว่าคนไข้ไม่พอใจในผลลัพธ์ก็สามารถแก้ไขได้โดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปแทนที่คอลลาเจน ไฟเบอร์ รวมถึงอิลาสตินที่หายไป ซึ่งเมื่อครบระยะเวลา 1 ปีก็จะสลายไปเอง ในขณะที่หากเป็นการฉีดไขมัน ไขมันที่แพทย์ฉีดเข้าไปจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อใบหน้า และไม่สลายไปหรือใช้เวลานานกว่าจะสลาย เปรียบได้กับการปลูกถ่ายเซลล์อย่างหนึ่งนั่นเอง

ฉีดถุงใต้ตา

 

2.คนมีถุงใต้ตาไม่จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์

สำหรับความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่งได้แก่ ความเข้าใจว่าคนมีถุงใต้ตาไม่จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการฉีดฟิลเลอร์สามารถแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาได้เช่นกัน  เพราะว่าการฉีดฟิลเลอร์คือการเติมสารไฮยาลูอนิคแอซิดลงไปในบริเวณใต้ดวงตาที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยหรือหมองคล้ำ ทำให้ใต้ตาที่เหี่ยวย่นกลับมาสดใสและอ่อนเยาว์จนหลายคนรู้สึกได้ อีกทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะกรดไฮยาลูรอนิคเป็นสารจากธรรมชาติซึ่งสังเคราะห์เลียนแบบคอลลาเจนในร่างกายของมนุษย์นั่นเอง

 

3.วัยที่เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์คือ 30 ปีขึ้นไป

บางคนมักเข้าใจผิดไปว่าวัยที่เหมาะสมกับการฉีดฟิลเลอร์คือ 30 ปีขึ้นไปเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใดก็ตาม คุณก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายมนุษย์จะเริ่มลดน้อยลง รวมถึงกระดูกจะยุบตัวลงอย่างไม่อาจห้ามได้ ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์จึงทำเพื่อเติมเต็มบริเวณใต้ตา ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะคนที่มีอายุเท่านั้น หากแต่เหมาะสมกับทุกคนที่คิดว่าตนเองเริ่มมีถุงใต้ตา หรือผิวมีริ้วรอยใต้ตา

 

4.ไม่มีเวลาพักฟื้นไม่ควรฉีดถุงใต้ตา

บางคนคิดว่าการฉีดถุงบริเวณใต้ตาก็ไม่แตกต่างกับการผ่าตัดถุงใต้ตา กล่าวคือจะต้องมีเวลาพักฟื้นเพื่อดูแลตนเองเป็นเวลานาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นการดูแลตนเองหลังจากที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แม้ไม่มีเวลาพักฟื้นก็สามารถทำได้ เพียงแค่คนไข้ดูแลตนเองอย่างถูกวิธี ไม่แตะ แกะ นวด หรือเกาบริเวณจุดนั้นด้วยตัวเอง อย่างไรก็ดีแม้ว่าช่วงเวลา 2-3 วันแรกคนไข้จะสังเกตว่าใต้ตาของคุณดูบวม ทว่านั่นคือผลลัพธ์จากการที่เข็มเสียดสีไปบริเวณผิวใต้ตา ยิ่งหากว่าคนไข้คนใดมีอาการบวมมากกว่าปกติ ควรติดต่อเพื่อทำการพบแพทย์เจ้าของไข้ในทันที และเมื่อนัดติดตามผลการฉีดฟิลเลอร์ในเวลา 2 สัปดาห์หลังจากที่ฉีด แพทย์จะมีการนัดเพื่อปรับนวดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเพื่อทำการนวดกรณีที่จำเป็นต้องปรับแต่งรูปทรงของฟิลเลอร์

ฉีดถุงใต้ตา

 

5.อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้

อย่างไรก็ดีแม้การฉีดฟิลเลอร์จะเหมาะสมกับทุกเพศหรือคนหลากหลายวัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กหรือเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปีจะสามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ เพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือการปรับโครงสร้างหน้าอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งในกรณีของเยาวชนที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี อาจเป็นไปได้ว่าโครงสร้างใบหน้าอาจเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็ได้เช่นกัน

 

6.ผลลัพธ์จากการฉีดไขมันใต้ตาเหมาะสมกับคนที่ต้องการเห็นผลแบบทันใจ

ในความเป็นจริงแล้วนั้นผลลัพธ์ของการฉีดไขมันใต้ตาไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถอยู่ได้นานกว่า 2 ปี แค่ข้อเสียคืออาจไม่เหมาะสมกับคนที่ต้องการเห็นผลแบบทันใจเหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์ เพราะผลลัพธ์ครั้งแรกไม่น่าพึงพอใจเท่าที่ควร เนื่องจากว่าการฉีดไขมันประเมินได้ยากกว่าการฉีดฟิลเลอร์นั่นเอง เพราะว่าไขมันคือสารที่อยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ และสามารถูกดูดซึมเพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ได้ ทำให้การฉีดครั้งแรกมอบผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของคนไข้นั่นเอง

 

7.ฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตาแล้วตาบอด

อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ทำให้หลายๆ คนไม่กล้าไปฉีดฟิลเลอร์นั่นก็คือการที่บางคนเข้าใจว่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วตาบอด ซึ่งในความเป็นจริงนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาไม่ได้ทำให้ตาบอดแต่อย่างใด หากว่าฉีดกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ดวงตาบอดได้ ก็เนื่องจากว่าในองค์ประกอบใบหน้าของมนุษย์นั้นมีเส้นเลือดอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการเชื่อมต่อกันเป็นร่างแห ประกอบไปด้วยเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดงคือเส้นเลือดที่มีแรงดันจากการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะนำเอาเลือดดีไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ที่อยู่บนใบหน้า เพราะฉะนั้นเมื่อมีก้อนฟิลเลอร์หรือก้อนไขมันเข้าไปอุดตันจะทำให้อวัยวะในส่วนที่รับเลือดจากเส้นเลือดนั้นๆ ตายไปในที่สุด เช่นกรณีที่มีก้อนฟิลเลอร์หรือก้อนไขมันไปอุดตันที่บริเวณเส้นเลือดดวงตาก็จะทำให้ตาบอดได้ซึ่งหากว่าเกิดภาวะนี้ขึ้นแล้วเป็นภาวะที่เร่งด่วนและต้องรีบรักษาภายใน 90 นาทีหลังจากที่มีการอุดตัน เพราะหากว่านานกว่านั้น เซลล์ของประสาทตาจะตายแบบถาวร

ฉีดถุงใต้ตา

 

8.ไม่จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตาก่อนฉีดจริง

อย่างไรก็ตามการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ไว้ก่อนฉีดฟิลเลอร์จริงถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อจะเปรียบเทียบว่าคุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทำหัตถการใดเกี่ยวกับถุงใต้ตาของคุณเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากที่สุด และควรศึกษาเกี่ยวกับคลินิกเสริมความงามให้ละเอียดถี่ถ้วน และดูรีวิวจากผู้รับบริการจริงที่คลินิกว่าสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ และมีแพทย์ประจำอยู่ที่คลินิกหรือไม่

 

9.ออกกำลังกายก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้

การออกกำลังกายก่อนฉีดฟิลเลอร์อาจเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และควรงดก่อนจะดีที่สุด เนื่องจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายร้อน และส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ได้ นอกจากนี้ผู้เข้ารับการทำหัตถการจะต้องงดการเข้าซาวน่าก่อนด้วยเช่นกัน เพราะการทำซาวน่าคือตัวกระตุ้นให้ร่างกายร้อนและส่งผลกระทบกับการฉีดฟิลเลอร์ได้นั่นเอง

ฉีดถุงใต้ตา

จะดีกว่าหรือไม่หากว่าเราจะเลือกพิจารณาการฉีดถุงใต้ตาหรือฉีดไขมันใต้ตาเพื่อเติมเต็มความสวยสมบูรณ์แบบจนไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องออกปากทักด้วยความทึ่งนั่นเอง